วิธีดูแลโซ่รถมอเตอร์ไซค์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ต้องทำอย่างไร ?

วิธีดูแลโซ่รถมอเตอร์ไซค์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ต้องทำอย่างไร ? สำหรับไบค์เกอร์ที่มีรถมอเตอร์ไซค์ระบบส่งกำลังด้วยโซ่ นอกจากต้องหมั่นดูแลรักษาให้รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเราอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานแล้ว ต้องอย่าลืมใส่ใจความสะอาดของโซ่อย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคราบฝุ่น คราบน้ำมันมาเกาะที่โซ่จนเกิดเป็นสนิมและเสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้ ซึ่งการทำความสะอาดโซ่รถมอเตอร์ไซค์นั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นไบค์เกอร์มือใหม่หรือมือเก๋าก็สามารถทำด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ตามวิธีที่เรานำมาบอกต่อกันในวันนี้ อุปกรณ์ในการทำความสะอาดโซ่มอเตอร์ไซค์ 1.น้ำยาล้างโซ่ (แนะนำให้เลือกชนิดที่ไม่ส่งผลต่อ O-Ring) ถ้าไม่มีสามารถใช้ผงซักฟอกผสมน้ำเปล่าและน้ำมันสนแทนได้ 2.แปรงขัดโซ่ หรือแปรงสีฟันเก่าสำหรับขัดทำความสะอาดโซ่ 3.ถังน้ำหรือกะละมัง 4.กระดาษลัง หรือวัสดุอื่นๆ สำหรับป้องกันการเลอะเทอะที่ส่วนอื่นๆ ของรถ หรือพื้นบ้าน 5.ผ้าสำหรับเช็ดทำความสะอาดโซ่ 6.สเปรย์หล่อลื่นโซ่   ขั้นตอนการทำความสะอาดโซ่รถมอเตอร์ไซค์ 1.ถ้ารถมอเตอร์ไซค์จอดไว้นาน ให้เริ่มจากนำรถออกไปขี่สัก 10-15 นาทีก่อน เพื่อให้คราบสกปรกที่ติดอยู่ตามโซ่หลุดออกง่ายขึ้น แต่ถ้าเพิ่งใช้งานรถไปไม่นานก็ตั้งขาตั้งคู่เตรียมพร้อมทำความสะอาดได้เลย 2.ฉีดน้ำยาล้างโซ่รถมอเตอร์ไซค์ลงบนโซ่ หรือใช้แปรงทาผงซักฟอกที่ผสมเองลงไปให้ทั่วโซ่จนเกิดฟอง และควรใช้กระดาษลัง หรือวัสดุอื่นๆ สำหรับป้องกันการเลอะเทอะที่ส่วนอื่นๆ ของรถโดยเฉพาะล้อ จากนั้นทิ้งไว้สักพักให้น้ำยาล้างโซ่ขจัดคราบสกปรก 3.ขัดตามซอกต่างๆ ของโซ่ให้ทั่วถึงด้วยแปรงขัดโซ่หรือแปรงสีฟันเก่า เพื่อขจัดคราบฝุ่นและคราบน้ำมันออกให้หมด 4.เมื่อทำความสะอาดโซ่เสร็จแล้วให้ล้างน้ำยาล้างโซ่และคราบสกปรกให้หลุดออกโดยใช้น้ำสะอาด หากจะฉีดล้างควรใช้น้ำจากสายยางปกติ ไม่แนะนำให้ใช้สายฉีดน้ำแรงดันสูงเพราะอาจทำให้ O-Ring เสียหายได้ 5.ใช้ผ้าสะอาดเช็ดโซ่มอเตอร์ไซค์ให้แห้ง 6.เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็นำรถมอเตอร์ไซค์ไปขี่อีกสักรอบ เพื่อให้คราบสกปรกที่อาจติดค้างอยู่หลุดออกไปให้หมดและเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำค้างในโซ่ซึ่งอาจทำให้เกิดสนิมได้ 7.สุดท้ายลงน้ำยาหล่อลื่นโซ่ให้ทั่วเพื่อป้องกันสนิมและยืดอายุการใช้งานของโซ่ สำหรับใครที่ต้องการน้ำยาหล่อลื่นโซ่ที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้ทั้งโซ่แบบธรรมดาและโซ่ที่มียางโอริงประกอบ…

12 ข้อง่ายๆ เช็คความพร้อมมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเอง

12 ข้อง่ายๆ เช็คความพร้อมมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเอง เทศกาลหยุดยาวกำลังจะมาถึง ไบค์เกอร์หลายๆ คนวางแผนที่จะเดินทางออกทริปท่องเที่ยวไปยังสถานที่ชั้นนำต่างๆ บ้างก็กลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ซึ่งสิ่งหนึ่งที่มิอาจมองข้ามได้ก็คือ การตวรจเช็คสภาพมอเตอร์ไซค์คู่ใจให้พร้อมเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะนอกจะทำให้การออกทริปของคุณหมดสนุกแล้ว หลายๆ ร้าน หลายๆ ช็อปเซอร์วิสยังปิดทำการในช่วงหยุดยาวนี้ด้วย เพื่อความไม่ประมาท การตวจเช็ครถให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด 1.น้ำมัน เปิดดูถังน้ำมันว่ามีน้ำมันเหลือมากน้อยเพียงพอต่อการเดินทางหรือไม่ 2.น้ำมันเครื่อง ตรวจเช็คน้ำมันเครื่องว่าอยู่ในระดับที่กำหนดหรือไม่ และเช็คความสะอาด และความหนืดของน้ำมันเครื่อง เพื่อลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ 3.ยาง ตรวจดูว่ายางทั้ง 2 ล้อมีหิน หรือตะปูติดอยู่ที่ร่องยางหรือไม่ มีรอยสึก หรือรอยฉีกขาดหรือไม่ และตรวจสอบความดันลมว่าแข็ง หรืออ่อนเกินไปหรือไม่ 4.โซ่ หยอดน้ำมันโซ่ และตรวจสอบความตึงของโซ่ให้หย่อนประมาณ 10-20 มิลลิเมตร 5.เครื่องยนต์ ตรวจเครื่องยนต์ว่ามีรอยรั่วที่ส่วนใดบ้าง และมีน้ำมันเครื่องหล่อลื่นเพียงพอหรือไม่ 6.เบรค ทดสอบเบรกหน้า และหลังว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ 7.คลัทช์ ใช้มือบีบเพื่อตรวจสอบการทำงานของคลัทช์ และตรวจดูสายคลัทช์ว่าหลุดหรือขาดบ้างหรือไม่ 8.ระบบไฟ และแตร ตรวจสอบทั้งไฟหน้า และไฟเลี้ยวทั้ง 2 ข้าง และแตรว่าสามารถใช้ได้หรือไม่…

แรงม้า แรงบิด คืออะไร รู้หรือเปล่า

แรงม้า แรงบิด คืออะไร รู้หรือเปล่า? พูดถึงเรื่องของ แรงม้า แรงบิด ผมเชื่อว่าหลายๆ คน เวลาจะซื้อรถมันจะหันมามองตัวเลข 2 ตัวนี้ในการตัดสินใจเลือกซื้อรถ แต่หลายๆ คนก็ไม่ได้สนใจก็มี และผมก็เชื่อว่าคนที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์น่าจะพอเข้าใจคร่าวๆ ว่ามันคืออะไร แต่หลายๆ คน อาจจะไม่รู้ หรืออาจจะสงสัยว่าทำไมมอเตอร์ไซค์บางคันแรงบิดเยอะกว่าแรงม้ามาก (เพราะส่วนใหญ่แล้วรถใช้งานบนท้องถนนทั่วไปมักจะมีแรงม้ามากกว่าแรงบิดอยู่นิดหน่อย) แรงบิด แรงบิด (Torque) คือ แรงหมุนของเพลาเครื่องยนต์ โดยแรงบิดจะเป็นแรงที่ใช้ในการส่งกำลังของเครื่องยนต์ไปหมุน เกียร์ เพลา และ ล้อรถ ทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ (ถ้าจะพูดให้นึกภาพตามง่ายๆ ก็คือ แรงบิด เป็นแรงที่ส่งไปบิดหมุน เกียร์ เพลา และล้อรถให้วิ่งนั่นเอง) ซึ่งค่าของแรงบิดนั้นจะมีความแตกต่างกันไปตามความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ซึ่งรถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูง จะมีอัตราเร่งดีกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีแรงบิดต่ำกว่า แรงบิดจึงเป็นตัวชี้วัดว่ารถยนต์แต่ละคัน คันไหนวิ่งเร็วกว่ากัน วิธีสังเกตง่ายๆ ว่ารถคันไหนวิ่งเร็วกว่ากัน ก็คือ แรงบิดที่รอบเครื่องต่ำกว่า จะวิ่งเร็วกว่า เช่น รถสองคัน มีแรงบิดเท่ากัน คันแรกบิดที่ 4,000 รอบ…

อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน มอเตอร์ไซค์ คืออะไร และวิธีคำนวณเป็นแบบไหน

ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องคำนวณอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันด้วย ในเมื่อขี่รถจักรยานยนต์ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่า มันสามารถช่วยให้เราคำนวณค่าอื่นๆ ที่จะช่วยให้เราเดินทางได้อย่างมีความสุขและสบายใจมากยิ่งขึ้นในยุคที่น้ำมันแพงแบบนี้ วันนี้เราจึงจะพาไปหาคำตอบกันว่า การคำนวณอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ต้องทำอย่างไร?? วิธีการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน การคำนวณอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน สามารถคำนวณได้จากตัวเลข 2 ค่า ได้แก่ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ไปและระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไป โดยมีวิธีดังนี้ 1.ตั้งรถมอเตอร์ไซค์ให้ตรงแล้วเติมน้ำมันให้เต็มถังที่สุดเท่าที่จะทำได้ 2.บันทึกเลขระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนมาตรวัดไว้ 3.ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามการใช้งานปกติ 4.เติมน้ำมันให้เต็มถังที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกครั้ง หลังจากน้ำมันหมดไปสัก 1/4 หรือ 1/2 ของถังน้ำมัน 5.บันทึกปริมาณน้ำมันที่เติมไปใหม่ ซึ่งจะนับเป็น ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ไป 6.นำตัวเลขระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนมาตรวัดไปลบกับเลขเดิมที่บันทึกไว้ ซึ่งจะนับเป็น ระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไป 7.คำนวณอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยนำเลขระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปมาหารด้วยปริมาณน้ำมันที่ใช้ไป ตัวอย่างการคำนวณอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน สมมติเลขระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนมาตรวัดรอบแรก (ข้อ 2) คือ 10,000 กิโลเมตร เติมน้ำมันเต็มถังที่ 5 ลิตร นำรถมอเตอร์ไซค์ไปใช้งานตามปกติจนน้ำมันลดลงครึ่งถังและเติมน้ำมันเต็มถังอีกครั้ง โดยเติมเพิ่มไป 2.5 ลิตร และพบว่าเลขระยะทางที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนมาตรวัดเป็น 10,060 กิโลเมตร แปลว่า มอเตอร์ไซค์วิ่งไปแล้วทั้งหมด 60 กิโลเมตร โดยใช้น้ำมัน 2.5…

ทางลาดชันอันตราย แนะนำเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้คุณขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้น – ลงทางลาดชันให้ปลอดภัยมากขึ้น

เป็นธรรมดาที่บางครั้งเราต้องขี่มอเตอร์ไซค์บนเส้นทางที่ไม่ใช่ทางราบ โดยเฉพาะคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกทริปเป็นประจำ ยิ่งบางทีเป็นทริปขึ้นเขาก็ต้องเจอกับทางลาดชันกันทั้งทริปซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นพิเศษ แต่ถ้าใครยังไม่เชี่ยวชาญวันนี้เราจึงมีเทคนิคดีๆ เกี่ยวกับขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้น – ลง ทางลาดชันให้ปลอดภัยมากขึ้น 1.ขับขี่อย่างมีสติและโฟกัสกับเส้นทาง หลายครั้งอุบัติเหตุบนท้องถนนมักเกิดขึ้นจากตัวผู้ขับขี่ไม่คุ้นเคยเส้นทาง ดังนั้น เมื่อต้องขับขี่บนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยโดยเฉพาะทางที่มีความลาดชันหรือทางโค้ง คุณจำเป็นต้องตั้งสติและจดจ่อกับเส้นทางให้มาก เพื่อประเมินลักษณะเส้นทางข้างหน้าว่าเป็นอย่างไร ช่วงไหนโค้งกว้าง โค้งแคบ โค้งหักศอก หรือช่วงไหนลาดชันมากน้อยแค่ไหน จะได้เลือกใช้ความเร็วและควบคุมรถได้อย่างเหมาะสม รวมถึงระวังรถที่วิ่งสวนมาด้วยเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ 2.เลือกใช้ความเร็วและเกียร์ให้เหมาะสม ความเร็วก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องใส่ใจเมื่อต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์บนเส้นทางที่มีความลาดชัด โดยขณะขี่ขึ้นทางลาดชันสามารถใช้ความเร็วได้พอประมาณ เพื่อให้ความเร็วกับเกียร์สัมพันธ์กันและเพื่อให้รถมีแรงไต่ขึ้น โดยความเร็วที่แนะนำอยู่ที่ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่ขี่ลงทางลาดชันรถจะมีความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravitational Acceleration) อยู่แล้ว หากเป็นทั้งเกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดา เหมือนกันคนขี่อาจจะไม่จำเป็นต้องบิดคันเร่งด้วยซ้ำ แต่ควรค่อยๆ แตะเบรกเป็นระยะเพื่อควบคุมความเร็ว ในส่วนของรถมอเตอร์ไซค์เกียร์ธรรมดา ขณะขึ้นหรือลงทางลาดชันก็ควรใช้เกียร์ต่ำหรือไม่เกินเกียร์ 3 โดยตอนขี่ขึ้นทางลาดชันอาจใช้เกียร์ที่ต่ำกว่านั้นได้ถ้ารู้สึกว่ารถเริ่มไม่มีแรง แต่ก็ไม่ควรบิดคันเร่งแรงจนเกินไปเพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งเลยจุดลาดชัน ส่วนขณะขี่ลงนั้น การใช้เกียร์ต่ำจะทำให้รถเกิดแรงฉุดหรือ Engine brakeและวิ่งช้าลง ช่วยให้ควบคุมรถได้ดีขึ้น 3.ห้ามแตะเบรกแช่ไว้ตอนขี่ลงทางลาดชัน อย่างที่บอกไปว่าตอนที่มอเตอร์ไซค์ลงทางลาดชันนั้นตัวรถจะมีความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravitational Acceleration) อยู่แล้ว โดยที่คนขี่อาจจะไม่จำเป็นต้องทำอะไรนอกจากแตะเบรก แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือไม่ควรใช้เบรกค้างหรือแช่ไว้นานๆ เพราะนั่นอาจจะทำให้เบรกไหม้ได้ ยิ่งถ้าเป็นเส้นทางที่มีความลาดชันมากและมอเตอร์ไซค์ลงมาด้วยความเร่งสูง การกำเบรถแช่ก็ยิ่งมีโอกาสสูงที่เบรกจะไหม้และเบรกไม่อยู่…

รู้หรือไม่ เบรคมอเตอร์ไซค์จม เบรคไม่อยู่ มีสาเหตุมาจากอะไร

หนึ่งในเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เชื่อว่าไบค์เกอร์หลายคนต้องเคยเจอ คือขี่รถมอเตอร์ไซค์มาด้วยความเร็วและเมื่อถึงจังหวะต้องหยุดกลับเบรคจม หรือถ้าอาการหนักหน่อยก็อาจจะถึงกับเบรคมอเตอร์ไซค์ไม่อยู่จนเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ แล้วอาการเบรคจมที่อันตรายอย่างนี้มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง ไปหาคำตอบกันดีกว่า อาการเบรคจมเป็นอย่างไร? ปกติเวลาเหยียบเบรคหรือกำเบรคเพื่อหยุดรถมอเตอร์ไซค์ เราออกแรงแค่นิดเดียวเบรคก็จะทำงาน และถ้าเราออกแรงเยอะเบรคก็จะทำงานเยอะขึ้นและรถก็จะหยุดเร็วตามไปด้วย แต่ถ้ารถมอเตอร์ไซค์คันไหนมีอาการ ‘เบรคจม’ หรือเบรคต่ำ แป้นเบรคหรือก้านเบรคที่เคยแข็งจะจมลึกกว่าปกติจนต้องออกแรงมากกว่าที่เคย หรือต้องใช้เบรคซ้ำๆ ถึงจะสามารถหยุดหรือชะลอรถมอเตอร์ไซค์ได้ สาเหตุของอาการเบรคจมและวิธีแก้ไข 1.ชิ้นส่วนในระบบเบรคเสื่อมสภาพ เบรคจมเกิดจากอะไร? สาเหตุหลักของอาการเบรคจมเกิดจากการเสื่อมสภาพและสึกหรอของชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ เช่น ปั๊มเบรคตัวบนเสื่อมสภาพจนประสิทธิภาพในการอัดแรงดันน้ำมันเบรคลดลง ทำให้ต้องย้ำเบรคหรือออกแรงเบรคมากกว่าปกติ วิธีแก้ไขคือทำการซ่อมชุดแม่ปั้มหรือเปลี่ยนปั๊มเบรคใหม่ รวมถึงจานเบรคสึกหรอหรือผ้าเบรคหมด ซึ่งทำให้เกิดระยะห่างระหว่างผ้าเบรคกับจานเบรคและแรงเสียดทานในการเบรคลดลง หากสงสัยว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้สามารถเช็กเพื่อความมั่นใจได้โดยดูที่ระดับน้ำมันเบรค เพราะเมื่อผ้าเบรคเริ่มบางน้ำมันเบรคจะถูกดึงไปช่วยดันผ้าเบรค มากกว่าปกติ ถ้าพบว่าน้ำมันเบรคพร่องลงไปเกินครึ่งแนะนำให้เปลี่ยนผ้าเบรคและทำความสะอาดจานเบรค 2.อากาศเข้าไปแทนที่น้ำมันเบรคมากเกินไป ถ้ามอเตอร์ไซค์มีอาการเบรคจมแต่ชิ้นส่วนในระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ยังอยู่สภาพปกติ ไม่มีชิ้นส่วนใดเสียหายหรือเสื่อมสภาพ เป็นไปได้ว่าอาการเบรคจมนั้นอาจเกิดจากการที่มีอากาศเข้าไปอยู่แทนที่น้ำมันเบรคมากเกินไป ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมน้ำมันเบรคเพื่อไล่ลมเบรคออกให้หมด และเหลือไว้เฉพาะน้ำมันเบรคใหม่ที่เติมเข้าไป 3.เบรคค้างโดยไม่รู้ตัว ปัจจุบันระบบเบรคที่ใช้ในมอเตอร์ไซค์ส่วนมากจะเป็นระบบดิสก์เบรค (Disc Brake) ซึ่งมีหลักการทำงานคือ เมื่อกดเบรกแม่ปั๊มจะดันผ้าเบรคไปหนีบกับจานเบรกของล้อรถ ส่งผลให้ความเร็วของรถถูกชะลอและหยุดในที่สุด ระบบเบรกแบบนี้อาจเกิดอาการเบรคค้างโดยไม่รู้ตัวและเป็นสาเหตุของอาการเบรคมอเตอร์ไซค์จมได้ เช่น ถ้าเราเอามือวางที่ก้านเบรคหรือเท้าวางบนแป้นเบรคแล้วเผลอออกแรงจนเหมือนกำเบรคตลอดเวลา ผ้าเบรคอาจจะร้อนเกินทำให้น้ำมันเบรคเดือด นานๆ ไป ผ้าเบรคก็จะบางและน้ำเบรคก็จะหายไป ทำให้เกิดอาหารเบรคจม อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เบรคค้างได้ก็คือขาคาร์ลิเปอร์มีสิ่งสกปรกเข้าไปติดขัด ทำให้เบรคติด ผ้าเบรคมีการเสียดสีตลอดเวลา และทำให้น้ำมันเบรคเดือดเช่นกัน หากสงสัยว่าอาการเบรคจมเกิดจากเบรคค้างโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่าให้ลองสังเกตที่จานเบรก…

วิธีดูแลรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกคู่ใจให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า รถเกียร์ออโต้ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะขับขี่ง่าย สะดวกสบาย สามารถเก็บของได้เยอะ มีความคล่องตัวในการขับขี่ ทั้งในเมืองและในสภาพการจราจรที่หนาแน่น อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้หลากหลายอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องในคันเดียวเลยก็ว่าได้ วันนี้เราเลยมีวิธีดูแลรถมอเตอร์ไซค์ที่เป็นระบบออโตเมติกมาบอกต่อกัน เพื่อให้รถจักรยานยนต์คู่ใจของคุณพร้อมใช้งานอยู่เสมอ วิธีดูแลรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติก สำหรับรถจักรยานยนต์เกียร์ออโตเมติก นอกเหนือจากการดูแลเครื่องยนต์เบื้องต้นทั่วไป เช่น การตรวจเช็กน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะอย่างต่อเนื่อง และควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะกับรถจักรยานยนต์เกียร์ออโตเมติก การตรวจเช็กระบบไฟฟ้า แบตเตอรี ตรวจสอบลมยางและแรงดันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงดูแลรักษาสภาพยางนอกทั้งสองล้อให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีส่วนของระบบขับเคลื่อนที่มีกลไกการทำงานที่เจ้าของรถต้องหมั่นดูแลรักษาพอๆ กับเครื่องยนต์ ดังนี้ 1.สายพาน เมื่อพูดถึงวิธีดูแลรถจักรยานยนต์ออโตเมติก ระบบสายพานคือสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คนเป็นเจ้าของรถต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอ โดยทั่วไปอายุการใช้งานของสายพานจะอยู่ที่ระยะประมาณ 24,000 กิโลเมตรขึ้นไป แต่ก็อาจจะสามารถเสื่อมสภาพก่อนกำหนดได้เช่นกัน ดังนั้น ถ้าพบว่าสายพานเสื่อมสภาพก็ควรเปลี่ยนทันทีเพื่อป้องกันความเสียหายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ หรือแม้แต่อุบัติเหตุต่อตัวผู้ขับขี่เอง 2.ผ้าคลัตช์ ลำดับต่อมาที่เจ้าของรถจักรยานยนต์ออโอเมติกไม่ควรมองข้ามก็คือ ผ้าคลัตช์ หากพบว่าอยู่ในสภาพสึกหรอจนบางกว่า 2 มิลลิเมตร นั่นหมายความว่าถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนผ้าคลัตช์ได้แล้ว 3.ไส้กรองอากาศชุดสายพาน แนะนำว่าควรทำความสะอาดทุกๆ ระยะ 3,000 กิโลเมตร 4.น้ำมันเฟืองท้าย ควรตรวจสอบการรั่วซึม เมื่อใช้งานรถจักรยานยนต์ออโตเมติกครบระยะ 1,000 กิโลเมตรแรก การบำรุงรักษาและควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเฟืองท้ายทุกๆ ระยะที่ระบุอยู่ในคู่มือผู้ใช้งานประจำรถกำหนด

7 ปลอดภัย ขับขี่ยังไงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

สาเหตุหลักของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการใช้รถอันดับแรกสุดก็คือการขับรถเร็วเกินอัตรามากกว่าที่กฎหมายกำหนด ตามมาด้วยเมาแล้วขับและหลับใน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นตัวแปรของการเกิดอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากความประมาทและการขาดความระมัดระวังซึ่งจบลงด้วยการบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต มาช่วยกันขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อลดการสูญเสีย ส่อง 7 วิธีขับเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ 1.คิด วิเคราะห์ แยกแยะ คาดการณ์ล่วงหน้า การคาดการณ์และประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เป็นกระบวนการทำงานของสมอง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุขณะขับขี่ โดยอาศัยการมองให้ไกลเข้าไว้ การตัดสินใจที่ต้องรวดเร็วฉับไวและถูกต้อง การคาดการณ์และตอบสนองเพื่อหลีกหนีจากอุบัติเหตุ ยิ่งมีเวลาให้แก้ไขนานเท่าไร ก็ยิ่งปลอดภัยจากอุบัติเหตุมากเท่านั้น ควรทิ้งระยะให้ห่างจากรถคันหน้า หากเกิดการเบรกแบบฉุกเฉิน หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด 2.หลีกเลี่ยงการใช้เบรกกะทันหัน การเบรกแบบฉุกเฉินเป็นสาเหตุที่นำพาไปสู่อุบัติเหตุสองทางคือ หยุดไม่ทันแล้วไปซัดท้ายคันข้างหน้าหรือหยุดทันแต่โดนซัดท้ายเต็มๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อฝนตกในเขตเมืองจากการขับทิ้งระยะที่ไม่มากพอ สมาธิและสติที่ครบถ้วนรวมถึงการไม่ขับเร็วจะช่วยทำให้คุณไม่ต้องใช้เบรกหนักๆ 3.จุดอันตรายห้ามแซง การแซงรถช้าโดยปราศจากการมองเห็นที่ดี และการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด นำมาซึ่งอุบัติเหตุรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วน สภาพเส้นทางก็มีส่วนทำให้การแซงมีอันตรายที่อาจตามมา 4.จุดบอดบริเวณทางแยก ทางอันตรายสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ที่สุดคือ ทางแยก ที่มีข่าวรถประสบอุบัติเหตุอันดับต้น ๆ เพราะรถมอเตอร์ไซค์เวลาออกจากซอย ทางแยก จะไม่ค่อยหยุดรถก่อนออกจากทางแยก ดังนั้น ไม่ควรแทรกรถที่กำลังเลี้ยวอยู่เพราะเป็นจุดบอดของผู้ขับขี่ ไม่หลบอยู่หลังหรือชิดรถมากเกินไป ในกรณีอยู่หน้าสุดไม่ควรพุ่งตัวออกไปทันทีที่ไฟเขียว เพราะรถฝ่าไฟแดงมีมากอาจโชคร้ายเจอพุ่งชนพอดี 5.ลดความเร็วก่อนถึงโค้ง เข้าช้าออกเร็วคือสูตรสำเร็จของการขับเข้าโค้งที่มีความปลอดภัย ไม่ใช้ความเร็วสูงเกินไปที่ไม่สอดรับกับลักษณะของโค้ง ไม่เบรกกะทันหันหรือเบรกอย่างรุนแรงในโค้ง ไม่เปลี่ยนเกียร์ขณะอยู่ในโค้ง จัดท่าทางของรถให้ถูกต้องก่อนที่จะโค้ง 6.สวมหมวกกันน็อค อุปกรณ์สำคัญของผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์คือ หมวกกันน็อค…

ลมยางรถมอเตอร์ไซค์ เติมเท่าไรถึงดี? และปลอดภัย

ทำความรู้จักลมยางมอเตอร์ไซค์และความสำคัญของลมยาง ลมยางมอเตอร์ไซค์ คืออากาศที่ถูกอัดเข้าไปในยางในมอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 ล้อ เพื่อสร้างแรงดันภายในยางใน ช่วยให้ยางในและยางล้อคงรูป และสามารถมีความแข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักรถและผู้ขับขี่ได้ และยังส่งผลต่อความนุ่มนวล ความคล่องตัวขณะขี่มอเตอร์ไซค์ รวมถึงประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นถนนของยางล้ออีกด้วย โดยการเติมลมยางด้วยแรงดันที่เหมาะสมจะช่วยให้รถมอเตอร์ไซค์ยึดเกาะถนนได้ดี ทำให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้น ลมยางมอเตอร์ไซค์เติมเท่าไรดี หากใครเคยเติมลมยางมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเองตามปั๊มน้ำมัน จะเห็นว่าก่อนเติมนั้นต้องกดเลือกค่าความดันก่อน ซึ่งความดันลมยางปกติที่ใช้กันบนท้องถนนสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ตามคู่มือแนะนำจะอยู่ที่ 28-40 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) แต่ก็สามารถปรับให้เหมาะกับการใช้งานหรือความชอบส่วนตัวได้ วิธีดูปริมาณลมยางที่เหมาะสมกับรถมอเตอร์ไซค์ของเรา สำหรับไบเกอร์มือใหม่ที่อาจจะยังไม่รู้ว่าการดูปริมาณลมยางที่เหมาะสมกับรถมอเตอร์ไซค์ของเรานั้นต้องดูอย่างไร ก็สามารถดูได้ด้วยตัวเองง่ายๆ เพราะรถมอเตอร์ไซค์ทุกคันจะมีสติ๊กเกอร์บอกปริมาณของลมยางที่ต้องเติมไว้ โดยจะแปะอยู่บริเวณสวิงอาร์มใต้เบาะและคู่มือด้านหลังซ้ายของรถ ค่าวัดปริมาณลมยางในบ้านเราส่วนใหญ่จะใช้หน่วยเป็นปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ PSI ซึ่งปริมาณลมยางที่แนะนำคือควรเติมในระดับมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ได้ออกแบบรถคันนั้นๆ ไว้ หรืออาจเติมในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้งานตามที่บอกไปข้างต้นก็ได้เช่นกัน แต่ต้องให้สอดคล้องกับน้ำหนักที่รถมอเตอร์ไซค์ต้องรองรับด้วย หากมีการเปลี่ยนยางโดยที่ไม่ใช่แบบเดียวกับยางที่ติดรถมา ให้ลองถามปริมาณลมยางที่ต้องเติมจากผู้จำหน่าย วิธีเติมลมยางรถมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเอง 1.ตั้งค่าแรงดันลมยาง ถ้ายังไม่เชี่ยวชาญแนะนำให้ตั้งค่าตามคำแนะนำที่ติดไว้บนรถมอเตอร์ไซค์หรือในคู่มือรถ แต่หากเคยเติมลมยางมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ จนคุ้นเคยแล้วก็สามารถปรับค่าแรงดันลมยางตามต้องการได้เลย 2.เปิดจุกเติมลมบนล้อที่ต้องการเติม 3.เสียบหัวเติมลมเข้าไปที่จุกลมตรงๆ ออกแรงกดเล็กน้อยและรอจนกว่าจะได้ยินสัญญาณแจ้งเตือนจากแท่นเติมลม 4.ปิดจุกเติมลมให้แน่นแล้วเก็บหัวเติมลมที่แท่นเติมลม

5 Tips Trick : จะเป็นผู้ซ้อนที่ดี ต้องทำตัวยังไงบ้าง ?

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงกลางปี ที่ไม่ใช่ช่วงของการเดินทางเท่าไหร่นัก เพราะเป็นช่วงของฤดูฝน แต่ยังไงหากเรายังต้องใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลัก การซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับคนรู้ใจ หรือเพื่อนร่วมเดินทางก็ยังมีได้อยู่เสมอ ดังนั้นในบทความ Tips Trick ครั้งนี้ เราจึงจะมาพูดถึง ข้อควรปฏิบัติที่ผู้ซ้อนควรทำ หากอยากเป็นผู้ซ้อนที่ดี ซึ่งเราคงไม่รอช้าไปมากกว่านี้ มาเริ่มกันเลยดีกว่า 1.ใส่ชุดให้ครบไม่แพ้คนขี่ แม้ว่าเราจะไม่ใช่คนขี่เอง แต่ในเมื่อเราคือผู้ที่ซ้อนท้ายและเดินทางไปกับผู้ขี่ด้วย ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อัตราการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับเราได้ก็มีเท่ากัน ดังนั้นชุดหรือเครื่องแต่งกายของเราจึงต้องแต่งกายให้ครบไม่แพ้กัน ทั้งหมวกกันน็อค เสื้อการ์ด กางเกงการ์ด ถุงมือการ์ด ไปจนถึงรองเท้า ที่อย่างน้อยก็ขอให้เป็นแบบหุ้มส้นไว้ก่อนเถอะครับ 2.หาตำแหน่งพักเท้า รถมอเตอร์ไซค์แทบทุกคันจะต้องมีชุดพักเท้ามาให้ แต่ถ้าหากไม่มี ก่อนซ้อนเราควรถามก่อนว่าสามารถวางเท้าของเราตรงไหนได้บ้าง ไม่เช่นนั้นเราอาจจะต้องปล่อยขาลอยๆไว้อย่างนั้น ซึ่งหากนั่งแค่เพียงช่วงสั้นๆก็คงไม่เมื่อยขาเท่าไหร่นัก แต่ถ้าต้องซ้อนเป็นเวลานานๆ งานนี้อาจจะมีเหน็บกินขาตอนลงรถ นอกจากนี้ เราไม่แนะนำให้วางเท้าบนท่อไอเสียเด็ดขาด เนื่องจากพื้นรองเท้าอาจจะละลายติดไปได้ และหากมีที่วางเท้าที่มั่นคงแล้ว เราก็ไม่ควรที่จะละเท้าของเราออกจากพักเท้าเด็ดขาด ทั้งตอนเลี้ยว แม้แต่ตอนจอดเพื่อความปลอดภัยของตนเองและจะได้ไม่ไปกวนการบาลานซ์รถของผู้ขี่ 3.ศึกษาวิธีขึ้นรถให้ถูกต้อง สำหรับกรณีที่เบาะซ้อนเตี้ย สามารถขึ้นรถได้เลยโดยไม่ต้องยกขาสูงมากนัก ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเบาะรถสูงมาก อย่างเช่นรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ตไบค์ หรือแน็คเก็ทไบค์ ตั้งแต่ 150cc ขึ้นไป เราก็จำเป็นต้องปีนขึ้นรถด้วยการ เหยียบพักเท้าฝั่งซ้ายด้วยขาข้างซ้ายก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยเกาะไหล่คนขี่เพื่อดึงตัวขึ้นไป…